Use this space to put some text. Update this text in HTML

Supawich L.. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

บทความที่ได้รับความนิยม

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปัญหาและสาเหตุเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปัญหาและสาเหตุเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แสดงบทความทั้งหมด

ปัญหาเสียงไม่ออก คอมพิวเตอร์ไม่มีเสียง

ปัญหาเสียงไม่ออกหรือคอมพิวเตอร์ไม่มีเสียงนั้น เชื่อว่าหลายคนคงประสบปัญหานี้ถ้าหาใครที่ลงวินโดว์ใหม่แล้วพบว่าคอมพิวเตอร์ของเราไม่มีเสียง เราจะมีวิธีแก้ไขยังไงให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาใช้งานได้ปกติ

ปัญหาเสียงไม่ออก หรือคอมพิวเตอร์ไม่มีเสียง หลักๆนั้นเกิดจากการติดตั้งไดรเวอร์เสียง ที่ช่วยให้อุปกรณ์สามารถทำงานได้ วิธีการตรวจสอบว่าเราได้ติดตั้งไดร์เวอร์เสียงหรือไม่ ทำได้ดังนี้

  1. กดที่่เมนู Start
  2. เลือกเมนู Control Panel
  3. ค้นหาไอคอนที่ชื่อว่า System
  4. เมื่อดับเบิลคลิกไอคอม System แล้วให้เราค้นหาเมนูที่ชื่อว่า Device Manager
  5. ทำการตรวจสอบว่าเราติดตั้งไดรเวอร์เสียงแล้วหรือยังให้คลิกที่ Sound ,video and game controller ถ้าหากพบว่ามีไอคอนบางตัวมีเครื่องหมายตกใจสีเหลืองให้เราทำการติดตั้งไดรเวอร์เสียงทันที
  6. เพื่อที่จะติดตั้งไดรเวอร์เสียงได้นั้น ต้องทราบรุ่นของเมนบอร์ดก่อนว่าเป็นยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร ซึ่งสังเกตได้จากตอนเปิดเครื่องหรือดาวน์โหลดโปรแกรม cpu-z เพื่อใช้ตรวจสอบสเปคของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอีกวิธีหนึ่งคือเปิดดูที่แผงเมนบอร์ดก็ได้เช่นกัน
  7. เมื่อทราบรุ่นเมนบอร์ดแล้วให้เราทำการโหลดไดรเวอร์เสียงของเมนบอร์ดรุ่นหรือยี่ห้อนั้นๆมาติดตั้งก็จะทำให้คอมพิวเตอร์เรากลับมามีเสียงและใช้ได้ตามปกติ

อยู่ๆคอมพิวเตอร์ก็ดับ หาสาเหตุไปพร้อมกัน

ปัญหาคอมพิวเตอร์ดับ โดยไม่ทราบสาเหตุ หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าเกิดจากอะไร ทำไมคอมพิวเตอร์เราถึงดับไป ซึ่งแน่นอนเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เสียหายหรือแหล่งจ่ายไฟไม่สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เพียงพอ รวมทั้งอุณหภูมิของซีพียูที่สูงเกิดไปจนเมนบอร์ดสั่งตัดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ วิธีตรวจสอบอุณหภูมินั้นสามารถดูได้จากไบออสหรือใช้โปรแกรมที่แถมมากับเมนบอร์ด ค่าอุณหภูมิของทั้ง 2 แบบ อาจจะไม่เท่ากัน เพราะไบออสจะตรวจสอบค่าความร้อนของซีพียูแบบเรียวไทม์ ส่วนโปรแกรมจะตรวจสอบที่สภาพแวดล้อมขณะรันวินโดว์

วิธีการดูอุณหภูมิจากไบออสของเครื่องคอมพิวเตอร์ทำได้ง่ายๆ เพียงสั่งรีสตาร์ทเครื่องใหม่แล้วกดปุ่ม <Del> หรือปุ่มอื่นตามไบออสของแต่ละเครื่อง เมื่อเราเข้าถึงไบออสได้แล้วให้หาเมนูที่เกี่ยวกับ Hardware Monitor ให้กด <Enter> แล้วจะเห็นค่าของอุณหภูมิซีพียูภายในเคส

แนวทางการตรวจสอบอุณหภูมิของไบออสยี่ห้อต่างๆ  
  • BIOS AMI เมนู Hardware Monitor หรือ H/W Monitor
  • BIOS Award Medallion เมนู Power > Hardware Monitor
  • BIOS Award Modular เมนู PC Health Status
ส่วนการดูอุณภูมิจากโปรแกรมก็ไม่ยากอย่างที่คิดเพียงแค่ท่านตรวจสอบคู่มือหรือโปรแกรมที่แถมมากับเมนบอร์ด ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็จะมีความแตกต่างกันออกไป และอีกโปรแกรมหนึ่งก็คือ โปรแกรม Hardware Monitor ที่สามารถตรวจสอบอุณหภูมิและแรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิของการ์ดแสดงผลและฮาร์ดดิสก์ โปรแกรมจะอ่านค่าโดยตรงจากไบออส หรือทำงานร่วมกับไดรเวอร์ของอุปกรณ์นั้นๆ 

>>>ดาวน์โหลด<<<

เสียงปี๊บของ BIOS

เสียงปี๊บจาก BIOS นั้น เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นวิธีการแจ้งปัญหาโดยผ่านทางเสียง "ปี๊บ" ของลำโพงขนาดเล็กภายในเคส ถ้าหากคุณได้ยินเสียง "ปี๊บ" และเข้าใจว่าเสียงว่าเกิดปัญหาที่ส่วนใดของตัวเครื่อง ก็สามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ซึ่ง BIOS ยี่ห้อต่างๆ ก็จะมีลักษณะของเสียงเตือนที่แตกต่างกันออกไป ผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องรู้ยี่ห้อของไบออสที่ตนเองใช้อยู่จึงจะสามารถวิเคราะห์ปัญหานั้นได้

วิเคราะห์เสียง "ปี๊บ" ของ BIOS ยี่ห้อต่างๆ 

BIOS AMI
  • จำนวนเสียง 1 ครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานปกติ
  • จำนวนเสียง 4 ครั้ง ตัวนับเวลาทำงานผิดพลาด
  • จำนวนเสียง 5 ครั้ง ซีพียูทำงานผิดพลาด
  • จำนวนเสียง 6 ครั้ง ตัวควบคุม Gate A20 ของคีย์บอร์ดผิดพลาด
  • จำนวนเสียง 8 ครั้ง หน่วยความจำของการ์ดแสดงผลทำงานผิดพลาด
  • จำนวนเสียง 9 ครั้ง ข้อมูลในไบออสไม่ถูกต้อง
  • จำนวนเสียง 11 ครั้ง หน่วยความจำแคชทำงานผิดพลาด
BIOS Award
  • สั้น 1 ครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานปกติ
  • สั้น 2 ครั้ง ข้อมูลในไบออสทำงานไม่ถูกต้อง
  • ยาว 1 ครั้ง สั้น 1 ครั้ง แรมหรือเมนบอร์ดทำงานผิดพลาด
  • ยาว 1 ครั้ง สั้น 2 ครั้ง การ์ดแสดงผลหรือมอนิเตอร์ทำงานผิดพลาด
  • ยาว 1 ครั้ง สั้น 3 ครั้ง คีย์บอร์ดทำงานผิดพลาด
  • ยาว 1 ครั้ง สั้น 9 ครั้ง ตัวไบออสทำงานผิดพลาด
  • สั้นต่อเนื่องตลอด เกิดปัญหาที่แรงดันไฟฟ้า
  • ยาวต่อเนื่องตลอด เกิดปัญหาที่หน่วยความจำ

การกำหนดค่าของไบออส(BIOS)

การกำหนดค่าปกติ (Defaul Setting) ก็คือการรีเซ็ต (Reset) ให้ไบออสกลับไปใช้ค่าปกติที่ตั้งมาจากโรงงานหรือบริษัทผู้ผลิตเมนบอร์ด ซึ่งค่าปกติเป็นค่าที่เชื่อถือหรือมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าจะสามารถทำงานได้กับอุปกรณ์ทุกตัวอย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้การกำหนดค่าปกติยังจำเป็นสำหรับผู้ที่นิยมการโอเวอร์คล็อก (Overclock) เพราะผู้ใช้อาจจะปรับค่าที่สูงเกิดกว่าที่อุปกรณ์จะทำงานได้ปกติ

การตั้งค่าของไบออสยี่ห้อต่างๆ
  • ไบออส AMI     -เมนู Load fail Safe Defaults >OK
  • ไบออส Award Medallion   -เมนู Exit >Load Setup Default >Y
  • ไบออส Award Modular   -เมนู Load Fail-Safe Defaults

ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์บูตไม่ขึ้น



ปัญหาคอมพิวเตอร์บูตไม่ขึ้นนั้น มีสาเหตุมากมายที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเกิดปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าไบออกผิดพลาด การโอเวอร์คล็อกซีพียู เป็นต้น ดังนั้นเราจึงมีวิธีแก้ไขการตั้งค่าไบออสให้กลับมาเป็นปกติได้วิธีเดียวนั่นก็คือ วิธีการลบข้อมูลการตั้งค่าในไบออส ง่ายๆ เพียงแค่ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และถอดปลั๊กให้เรียบร้อย จากนั้นเปิดฝาเคสออกมา หาตำแหน่งของถ่านไฟเลี้ยงไบออส ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมแบนๆ คล้ายกับถ่านนาฬิกาที่เราเคยเห็น ถอดถ่านนั้นออกมาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วินาที จากนั้นใส่ถ่านกลับเข้าไปที่เดิม และทำการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราตามปกติ ค่าต่างๆ ที่กำหนดไว้จะถูกลบออกไป ซึ่งจะต้องตั้งค่าวันเวลาและข้อมูลใหม่ทั้งหมด

สาเหตุการเกิด Bad sector

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า Bad Sector คืออะไร มีผลเสียอย่างไรทำเราถึงกลัวกัน
Bad Sector คือ พื้นที่การเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ที่เกิดความเสียหาย ไม่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้ในส่วนที่เกิดปัญหา ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
  • Bad Sector ที่เกิดจากฮาร์ดแวร์ของฮาร์ดดิสก์โดยตรง
  • Bad Sector ที่เกิดจากปัญหาของซอฟแวร์ที่ใ้ชงานร่วมกัีบฮาร์ดดิสเกิดการทำงานที่ผิดพลา 


การเกิด Bad Sector มีสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้
  • ไฟฟ้าดับกระทันหันในขณที่เครื่องคอมพิวเตอร์กำลังทำงานอยู่
  • ไฟฟ้ากระชากเนื่องจากเพาเวอร์ซัปพลายจ่ายแรงดัน และกระแสไฟฟ้าให้กับฮาร์ดดิสก์ไม่นิ่งหรือไม่คงที่
  • ฮาร์ดแวร์ภายในคอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด
  • การต่อพ่วงภายในเครื่องคอมมีการเชื่อมต่อที่ผิดประเภทหรือผิดขั้วอาจทำให้เกิดการลัดวงจร
  • เกิดการกระแทก สะเทือน และตกหล่นของตัวฮาร์ดดิสก์ หรืออาจจะเกิดจากการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง
  • เกิดจากความประมาทของตัวผู้ใช้เอง
เพิ่มเติม พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ของเราขะถูกแบ่งเป็นเซกเตอร์ หรือเป็นส่วนๆซึ่งจะมีความน้อยใหญ่แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดเก็บ ข้อมูลของไฟล์ ซึ่งจะถูกกำหนดตอนสร้างพาร์ติชันบนฮาร์ดดิส

ข้อสังเกตเพื่อป้องกันข้อมูลให้ปลอดภัย
  • ฮาร์ดดิสก์ทำงานเสียงดังในเวลาอ่านและเขียนข้อมูล
  • มีหน้าจอ Blue Screen ปรากฎขึ้นมาบ่อยครั้ง บางคนเรียก หน้าจอแห่งความตาย
  • บูตเข้าวินโดว์แล้วมีการแสกนฮาร์ดดิสก์ทุกครั้ง
  • ไม่พบฮาร์ดดิสก์ใน BIOS บ่อยครั้ง
      หากคอมพิวเตอร์ของคุณเกิดความผิดปกติในการทำงานของฮาร์ดดิสก์ให้รีบตรวจสอบ หาข้อบกพร่องโดยด่วน ก่อนที่มันจะสายเกินเยียวยานะครับ

วิธีแก้ปัญหา NTLDR is missing บูตเข้าวินโดว์ไม่ได้


 Error : NTLDR is missing แก้ไขได้โดยการใช้เครื่องมือของวินโดวส์ มีชื่อว่า Windows Recovery console ซึ่งขั้นตอนก็มีดังต่อไปนี้
  • ขั้นแรก เตรียมแผ่นติดตั้ง Windows XP สำหรับเข้าสู่โหมด Windows Recovery Console
  • ขั้นที่สอง เข้าสู่หน้า Bios โดยกดปุ่ม Delete หรือ F2 ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของ Bios และตั้งค่าให้บูตกับ Drive CD/DVD  เป็นไดรฟ์แรก. 
  • ขั้นตอนที่สาม  ขั้นตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการบูตเครื่องกับแผ่นซีดี เมื่อปรากฎข้อความว่า Press any key to boot from CD...ให้กดแป้นพิมพ์(จะกดปุ่มอะไรก็ได้) เพื่อเข้าสู่โหมด Windows Recovery Console
  • ขั้นตอนที่สี่ เมื่อปรากฎหน้า Windows XP Professional Setup ให้กดแป้น R เพื่อทำการซ่อมแซมไฟล์ระบบวินโดว์ที่เสียหาย
  • ขั้นตอนที่ห้า หน้า Windows Recovery Console จะโหลดขึ้นมา จากนั้นใส่เลข 1 แล้วกด Enter 
  • ขั้นตอนที่หก  ให้คุณก็อบปี้ไฟล์ ntldr และ ntldr.com จากแผ่นวินโดว์ไปยังไดรฟ์ C โดยใช้คำสั่งดังนี้       
                     C:\Windows>G กด Enter
                     G:\>cd i386 กด Enter
                     G:\I386>copy ntldr c:\ กด Enter
                     G:\I386>copy ntdetect.com c:\ กด Enter
                     G:\I386>C: กด Enter
                     C:\Windows>Fixboot กด Enter
           จากนั้นระบบจะให้คุณยืนยันการเขียน Boot sector ใหม่ให้กับพาร์ติชันให้ใส่ตัว Y เพื่อยืนยันแล้ว       กด Enter

  • ขี้นตอนที่เจ็ด เมื่อพาร์ติชันถูกเขียน Boot Sector โดยกาซ่อมไฟล์ Boot.ini แล้วให้เลือกคำสั่ง Exit เพื่อออกจากโหมด Windows Recovery Console จากนั้นคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ

สาเหตุ!! ที่อาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์และวินโดว์แสดงข้อความผิดพลาด


สาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์แฮงค์ นั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านฮาร์ดแวร์หรือซอฟแวร์ ซึ่งสาเหตุต่างๆ ก็มีดังต่อไปนี้

  • ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสมากเกินไป ซึ่งผลก็คือ กินทรัพยาการเยอะ หรือ เปลืองเนื้อที่
  • คอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัสและภัยคุกคามอื่นๆ เพาะมันจะดึงเอาศรัพยากรไปใช้งานให้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ลดลงดังนั้นถ้าคอมพิวเตอร์คุณมีอาการแปลกๆ ควรรีบอับเดตโปรแกรมสแกนไวรัสโดยด่วน และต้องล่าสุดอยู่เสมอ และทำการสแกนไวรัสในโหลด Safe Mode
  • โปรแกรมและไดรเวอร์บางตัวมีปัญหา อาจเป็นที่เวอร์ชันของไดรเวอร์ เช่น เป็นตัวทดลองใช้หรือเก่ากว่ารุ่นปัจจุบัน ต้องหมั่นตรวจเช็คที่เว็บไซต์ของผู้ผลิตเพื่อทำการอับเดต
  • รีจิสตรีมีปัญหาหรือรีจิสตรีขยะมากไป นี่ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง เพราะรีจิสตรีเป็ฯส่วนหนึ่งในการเก็ฐค่า Setting ต่างๆ ของระบบ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาหรือบางส่วยเสียหายไปไม่มีการจัดเรียงข้อมูลก็อาจทำ ให้คอมพิวเตอร์แฮงค์ไ้ด้
  • ฮาร์ดแวร์มีปัญหา เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วินโดว์แฮงค์ อาจเกิดจากความสกปรกหรือชำรุดเสียหายทำให้การทำงานของวินโดว์ผิดพลาดและไม่ ตอบสนอง
ข้อสำคัญในการแก้ไขปัญหา
  • คุณควรแบ็คอัพข้อมูลไว้เสมอเพื่อป็องกันการสูญหายของข้อมูล

ads by nuffnang