tag:blogger.com,1999:blog-3509465926574763412024-03-13T20:08:55.683-07:00IT SENTREคอมพิวเตอร์ , เจาะลึกคอมพิวเตอร์ , จอคอมฯ , การ์ดจอ , ซีพียู , แรม , ฮาร์ดดิสก์ , การ์ดเสียง , การทำงานของคอมฯ , จอฟ้า , บูตเครื่องไม่ได้ , การดูแลรักษาคอมฯ , ซ็อกเก็ตแรม , ซ้อกเก็ตซีพียู , สล๊อตการ์ดจอ , ไบออส , สล๊อต PCI , และอื่นๆ Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.comBlogger84125tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-13554636343436919752013-04-14T06:42:00.001-07:002013-04-14T06:42:35.793-07:00ปัญหาเสียงไม่ออก คอมพิวเตอร์ไม่มีเสียงปัญหาเสียงไม่ออกหรือคอมพิวเตอร์ไม่มีเสียงนั้น เชื่อว่าหลายคนคงประสบปัญหานี้ถ้าหาใครที่ลงวินโดว์ใหม่แล้วพบว่าคอมพิวเตอร์ของเราไม่มีเสียง เราจะมีวิธีแก้ไขยังไงให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาใช้งานได้ปกติ<br />
<br />
ปัญหาเสียงไม่ออก หรือคอมพิวเตอร์ไม่มีเสียง หลักๆนั้นเกิดจากการติดตั้งไดรเวอร์เสียง ที่ช่วยให้อุปกรณ์สามารถทำงานได้ วิธีการตรวจสอบว่าเราได้ติดตั้งไดร์เวอร์เสียงหรือไม่ ทำได้ดังนี้<br />
<br />
<ol>
<li>กดที่่เมนู <b>Start</b></li>
<li>เลือกเมนู <b>Control Panel</b></li>
<li>ค้นหาไอคอนที่ชื่อว่า <b>System</b></li>
<li>เมื่อดับเบิลคลิกไอคอม <b>System </b>แล้วให้เราค้นหาเมนูที่ชื่อว่า <b>Device Manager</b></li>
<li>ทำการตรวจสอบว่าเราติดตั้งไดรเวอร์เสียงแล้วหรือยังให้คลิกที่ <b>Sound ,video and game controller </b>ถ้าหากพบว่ามีไอคอนบางตัวมีเครื่องหมายตกใจสีเหลืองให้เราทำการติดตั้งไดรเวอร์เสียงทันที</li>
<li>เพื่อที่จะติดตั้งไดรเวอร์เสียงได้นั้น ต้องทราบรุ่นของเมนบอร์ดก่อนว่าเป็นยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร ซึ่งสังเกตได้จากตอนเปิดเครื่องหรือ<a href="http://adf.ly/MwiSY"><b>ดาวน์โหลด</b></a>โปรแกรม <b>cpu-z</b> เพื่อใช้ตรวจสอบสเปคของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอีกวิธีหนึ่งคือเปิดดูที่แผงเมนบอร์ดก็ได้เช่นกัน</li>
<li>เมื่อทราบรุ่นเมนบอร์ดแล้วให้เราทำการโหลดไดรเวอร์เสียงของเมนบอร์ดรุ่นหรือยี่ห้อนั้นๆมาติดตั้งก็จะทำให้คอมพิวเตอร์เรากลับมามีเสียงและใช้ได้ตามปกติ</li>
</ol>
<div>
<img height="480" src="http://i208.photobucket.com/albums/bb117/leonhongkong/dektptechnique/nwind1224274046392729.jpg" width="640" /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-59451430897055322072013-04-11T09:08:00.001-07:002013-04-11T09:11:21.112-07:00อยู่ๆคอมพิวเตอร์ก็ดับ หาสาเหตุไปพร้อมกันปัญหาคอมพิวเตอร์ดับ โดยไม่ทราบสาเหตุ หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าเกิดจากอะไร ทำไมคอมพิวเตอร์เราถึงดับไป ซึ่งแน่นอนเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เสียหายหรือแหล่งจ่ายไฟไม่สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เพียงพอ รวมทั้งอุณหภูมิของซีพียูที่สูงเกิดไปจนเมนบอร์ดสั่งตัดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ วิธีตรวจสอบอุณหภูมินั้นสามารถดูได้จากไบออสหรือใช้โปรแกรมที่แถมมากับเมนบอร์ด ค่าอุณหภูมิของทั้ง 2 แบบ อาจจะไม่เท่ากัน เพราะไบออสจะตรวจสอบค่าความร้อนของซีพียูแบบเรียวไทม์ ส่วนโปรแกรมจะตรวจสอบที่สภาพแวดล้อมขณะรันวินโดว์<div>
<br /></div>
<div>
วิธีการดูอุณหภูมิจากไบออสของเครื่องคอมพิวเตอร์ทำได้ง่ายๆ เพียงสั่งรีสตาร์ทเครื่องใหม่แล้วกดปุ่ม <b><Del></b> หรือปุ่มอื่นตามไบออสของแต่ละเครื่อง เมื่อเราเข้าถึงไบออสได้แล้วให้หาเมนูที่เกี่ยวกับ <b>Hardware Monitor </b>ให้กด <b><Enter> </b>แล้วจะเห็นค่าของอุณหภูมิซีพียูภายในเคส</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>แนวทางการตรวจสอบอุณหภูมิของไบออสยี่ห้อต่างๆ </b></div>
<div>
<ul>
<li><b>BIOS AMI </b>เมนู Hardware Monitor หรือ H/W Monitor</li>
<li><b>BIOS Award Medallion</b> เมนู Power > Hardware Monitor</li>
<li><b>BIOS Award Modular</b> เมนู PC Health Status</li>
</ul>
<div>
ส่วนการดูอุณภูมิจากโปรแกรมก็ไม่ยากอย่างที่คิดเพียงแค่ท่านตรวจสอบคู่มือหรือโปรแกรมที่แถมมากับเมนบอร์ด ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็จะมีความแตกต่างกันออกไป และอีกโปรแกรมหนึ่งก็คือ <b>โปรแกรม Hardware Monitor </b>ที่สามารถตรวจสอบอุณหภูมิและแรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิของการ์ดแสดงผลและฮาร์ดดิสก์ โปรแกรมจะอ่านค่าโดยตรงจากไบออส หรือทำงานร่วมกับไดรเวอร์ของอุปกรณ์นั้นๆ </div>
</div>
<div>
<img src="http://www.cpuid.com/medias/images/en/softwares-hwmonitor.jpg" /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b><span style="color: #38761d;">>>>ดาวน์โหลด<<<</span></b></div>
<div>
<b><a href="http://adf.ly/MlAa8">1.21 setup, english</a></b></div>
<div>
<b><a href="http://adf.ly/MlAgM">1.21 32-bit, english</a></b></div>
<div>
<a href="http://adf.ly/MlAum"><b>1.21 64-bit, english</b></a></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-56395287357798479472013-04-11T07:30:00.000-07:002013-04-11T07:30:15.667-07:00เสียงปี๊บของ BIOSเสียงปี๊บจาก BIOS นั้น เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นวิธีการแจ้งปัญหาโดยผ่านทางเสียง "ปี๊บ" ของลำโพงขนาดเล็กภายในเคส ถ้าหากคุณได้ยินเสียง "ปี๊บ" และเข้าใจว่าเสียงว่าเกิดปัญหาที่ส่วนใดของตัวเครื่อง ก็สามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ซึ่ง BIOS ยี่ห้อต่างๆ ก็จะมีลักษณะของเสียงเตือนที่แตกต่างกันออกไป ผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องรู้ยี่ห้อของไบออสที่ตนเองใช้อยู่จึงจะสามารถวิเคราะห์ปัญหานั้นได้<div>
<br /></div>
<div>
<b>วิเคราะห์เสียง "ปี๊บ" ของ BIOS ยี่ห้อต่างๆ </b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>BIOS AMI</b></div>
<div>
<ul>
<li>จำนวนเสียง 1 ครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานปกติ</li>
<li>จำนวนเสียง 4 ครั้ง ตัวนับเวลาทำงานผิดพลาด</li>
<li>จำนวนเสียง 5 ครั้ง ซีพียูทำงานผิดพลาด</li>
<li>จำนวนเสียง 6 ครั้ง ตัวควบคุม Gate A20 ของคีย์บอร์ดผิดพลาด</li>
<li>จำนวนเสียง 8 ครั้ง หน่วยความจำของการ์ดแสดงผลทำงานผิดพลาด</li>
<li>จำนวนเสียง 9 ครั้ง ข้อมูลในไบออสไม่ถูกต้อง</li>
<li>จำนวนเสียง 11 ครั้ง หน่วยความจำแคชทำงานผิดพลาด</li>
</ul>
<b>BIOS Award</b></div>
<div>
<ul>
<li>สั้น 1 ครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานปกติ</li>
<li>สั้น 2 ครั้ง ข้อมูลในไบออสทำงานไม่ถูกต้อง</li>
<li>ยาว 1 ครั้ง สั้น 1 ครั้ง แรมหรือเมนบอร์ดทำงานผิดพลาด</li>
<li>ยาว 1 ครั้ง สั้น 2 ครั้ง การ์ดแสดงผลหรือมอนิเตอร์ทำงานผิดพลาด</li>
<li>ยาว 1 ครั้ง สั้น 3 ครั้ง คีย์บอร์ดทำงานผิดพลาด</li>
<li>ยาว 1 ครั้ง สั้น 9 ครั้ง ตัวไบออสทำงานผิดพลาด</li>
<li>สั้นต่อเนื่องตลอด เกิดปัญหาที่แรงดันไฟฟ้า</li>
<li>ยาวต่อเนื่องตลอด เกิดปัญหาที่หน่วยความจำ</li>
</ul>
<div>
<br /></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-10376575684366691872013-04-09T21:25:00.000-07:002013-04-09T21:25:49.303-07:00การกำหนดค่าของไบออส(BIOS)การกำหนดค่าปกติ<b> (Defaul Setting)</b> ก็คือการรีเซ็ต <b>(Reset)</b> ให้ไบออสกลับไปใช้ค่าปกติที่ตั้งมาจากโรงงานหรือบริษัทผู้ผลิตเมนบอร์ด ซึ่งค่าปกติเป็นค่าที่เชื่อถือหรือมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าจะสามารถทำงานได้กับอุปกรณ์ทุกตัวอย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้การกำหนดค่าปกติยังจำเป็นสำหรับผู้ที่นิยมการโอเวอร์คล็อก <b>(Overclock)</b> เพราะผู้ใช้อาจจะปรับค่าที่สูงเกิดกว่าที่อุปกรณ์จะทำงานได้ปกติ<div>
<br /></div>
<div>
<b>การตั้งค่าของไบออสยี่ห้อต่างๆ</b></div>
<div>
<ul>
<li>ไบออส AMI -เมนู Load fail Safe Defaults >OK</li>
<li>ไบออส Award Medallion -เมนู Exit >Load Setup Default >Y</li>
<li>ไบออส Award Modular -เมนู Load Fail-Safe Defaults</li>
</ul>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-22271013415250763352013-04-09T10:20:00.001-07:002013-04-09T10:20:19.938-07:00ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์บูตไม่ขึ้น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQnwSZA7f5P5sh16WWHQ32j9shJS1lc0BuD03yG4DJ4BRJoboJ5dA" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQnwSZA7f5P5sh16WWHQ32j9shJS1lc0BuD03yG4DJ4BRJoboJ5dA" /></a></div>
<br />
<br />
ปัญหาคอมพิวเตอร์บูตไม่ขึ้นนั้น มีสาเหตุมากมายที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเกิดปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าไบออกผิดพลาด การโอเวอร์คล็อกซีพียู เป็นต้น ดังนั้นเราจึงมีวิธีแก้ไขการตั้งค่าไบออสให้กลับมาเป็นปกติได้วิธีเดียวนั่นก็คือ วิธีการลบข้อมูลการตั้งค่าในไบออส ง่ายๆ เพียงแค่ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และถอดปลั๊กให้เรียบร้อย จากนั้นเปิดฝาเคสออกมา หาตำแหน่งของถ่านไฟเลี้ยงไบออส ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมแบนๆ คล้ายกับถ่านนาฬิกาที่เราเคยเห็น ถอดถ่านนั้นออกมาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วินาที จากนั้นใส่ถ่านกลับเข้าไปที่เดิม และทำการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราตามปกติ ค่าต่างๆ ที่กำหนดไว้จะถูกลบออกไป ซึ่งจะต้องตั้งค่าวันเวลาและข้อมูลใหม่ทั้งหมด<br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-19233441576811959522013-04-08T21:38:00.001-07:002013-04-08T21:38:14.247-07:00OpenCL พลังแห่งชิปกราฟิก<b>GPGPU (General-Purpose computing on Graphic Processor Unit) </b>เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีอยู่ใน <b>nVidia GeForce 8 </b>(ติดตั้งซอฟแวร์ PhysX)<b> </b>และ <b>ATi Radeon HD4000 </b>(ติดตั้งไดรเวอร์รุ่น 9.2) ขึ้นไป<br />
เป็นการปฏิวัติวงการชิปการฟิกเพราะเมื่อก่อนนั้นเราจะนิยมใช้งานกับเกมและโปรแกรมด้าน 3 มิติ เท่านั้น<br />
<br />
<a href="http://www.gpgpu.org/phpBB2/templates/subSilver/images/logo_phpBB.gif" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="68" src="http://www.gpgpu.org/phpBB2/templates/subSilver/images/logo_phpBB.gif" width="200" /></a><b>GPGPU</b> เป็นการนำชิปกราฟิกมาใช้กับโปรแกรมทั่วไป โดยเฉพาะโปรแกรมด้านมัลติมีเดียและการตัดต่อวีดีโอ <b>GPGPU</b> จะนำชิปซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าซีพียูมาช่วยประมวลผล ทำให้ไม่ได้รับความนิยมการเล่นเกมสามารถใช้ประโยชน์จากชิปกราฟิกได้มากขึ้น การเลือกซื้อชิปกราฟิกรุ่นสูงๆมาใช้นั้นมีประโยชน์มากกว่าการเล่นเกม<br />
<br />
<b>OpenCL (Open Computing Language) </b>มาตรฐานชุดคำสั่ง <b>APls</b> สากลเช่นเดียวกับ <b>OpenGL (Open Graphic Library)</b> และ <b>OpenAL (Open Audio Library) </b>ต่างกันตรงที่ <b>OpenGL</b> จะออกแบบมาเฉพาะด้านกราฟิก ในขณะที่ <b>OpenAL</b> ออกแบบมาเฉพาะระบบเสียง <b>OpenCL</b> จะนำเทคโนโลยี GPGPU มาใช้ประโยชน์ โดยมี <b>Windows 7</b> และ <b>Mac OS X 10.6 (Snow Leopard)</b> สามารถนำ <b>OpenCL</b> ไปใช้ประโยชน์ในการทำงานAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-28092663061161924622013-04-08T06:30:00.000-07:002013-04-08T06:30:07.447-07:00PhysX คืออะไร<b>PhysX</b> คือ เทคโนโลยีการทำงานของการ์ดประมวลผลทางด้วยฟิสิก์<b>(Physic Card) </b>เพื่อทำหน้าที่ประมวลผลด้านพื้นผิวและการเคลื่อนไหวของวัตถุโดยเฉพาะ ชิปฟิสิกส์ไม่ได้ช่วยให้การ์ดแสดงผลทำงานได้เร็วขึ้นแต่จะช่วยในเรื่องของความสวยงานและความสมจริงของภาพและวัตถุต่างๆ แนวคิดนี้เกิดจาก <b>Ageia </b>ได้วางจำหน่ายการ์ดฟิสิกส์ทั้งแบบสล็อต PCI และ PCI Express x1 เพื่อทำงานร่วมกับการ์ดแสดงผล(การ์ดจอ)<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img height="150" src="http://pcper.com/images/reviews/245/graw_physx_3.jpg" width="200" /><img height="150" src="http://www.eatsleepgeek.com/wp-content/uploads/2009/03/physx-cellfactor.jpg" width="200" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
ปัญหาสำคัญของการ์ดฟิสิกส์จาก <b>Ageia </b>คือ ราคาที่แพงมาก ผู้ใช้บางส่วนอาจจะไม่นิยมที่จะซื้อมาใช้ <b>nVidia </b>จึงซื้อกิจการของ <b>Ageia </b>และพัฒนาการประมวลผลด้านฟิสิกส์จากชิปฟิสิกส์มาเป็นซอฟแวร์ที่ทำงานร่วมกันกับชิปกราฟิกของ <b>nVidia </b>โดยชุดพัฒนาที่มีชื่อว่า<b> CUDA (Compute Unified Device Architecture) </b>ซึ่งรองรับชิปกราฟิกตั้งแต่ <b>GeForce 8 </b> ขึ้นไป</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<img height="213" src="http://www.thephysx.com/upload/images/blog/0/1.jpg" width="320" /></div>
<div style="text-align: left;">
<b>nVidia</b> เรียกชื่อชุดประมวลผลกราฟิกด้วยชุดคำสั่ง<b> CUDA </b>ว่า<b> nVidia PhysX </b>ซึ่งผู้ที่ใช้การ์ดแสดงผล <b>GeForce 8</b> ขึ้นไปสามารถดาวน์โหลดไดรเวอร์ <b>ForceWare</b> และไดรเวอร์<b> PhysX</b> รุ่นใหม่มาติดตั้ดเพื่อรองรับการประมวลผลทางได้ฟิสิกส์ได้ทันที</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
และในขณะเดียวกัน <b>AMD </b>ก็ได้ร่วมมือกับ <b>Havox</b> พัฒนาซอฟแวร์ด้านการเคลื่อนไหวและฟิสิกส์สำหรับเกมและภาพยนต์ โดยทำงานคล้ายกันกับ<b> nVidia PhysX </b>คือเมื่อติดตั้งไดรเวอร์ด้านฟิสิกส์เพื่ทำงานร่วมกับการ์ดแสดงผลตระกูล <b>Redeon HD4000</b> ลงไปก็สามารถทำงานได้ทันที</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-54491920088078782982013-04-08T05:37:00.002-07:002013-04-08T05:39:11.762-07:00หน่วยความจำของการ์ดแสดงผล<img height="149" src="http://www.warepin.com/wp-content/uploads/2008/05/qimondagddr3.jpg" width="200" /><img height="142" src="http://xtreview.com/images/Qimonda%20gddr5%20for%20AMD.jpg" width="200" /><br />
<br />
การ์ดแสดงผลหรือการ์ดจอที่เราเรียกติดปากกันนั้น มีส่วนหนึ่งที่เป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการ์ดแสดงผลก็คือ ความเร็วของหน่วยความจำ (RAM) บนการ์ดแสดงผล เพราะชิปกราฟิกจะต้องติดต่อกับหน่วยความจำตลอดเวลา และการประมวลผลกราฟิกต่างๆ นั้นต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ดังนั้น การ์ดแสดงผลที่มีแรมจำนวนมาก และทำงานได้รวดเร็วจะส่งผลการ์ดแสดงผลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด<br />
<br />
<b>ประเภทของหน่วยความจำที่นิยมมาใช้กับการ์ดแสดงผล</b><br />
<br />
<ul>
<li>RAM DDR2 -ทำงานเช่นเดียวกับแรม DDR 2 ของคอมพิวเตอร์</li>
<li>RAM GDDR2 -เป็นแรมที่ออกแบบมาสำหรับการ์ดแสดงผล</li>
<li>RAM GDDR3 -แรม DDR3 สำหรับการ์ดแสดงผลรองรับความเร็วที่ 1 GHz ขึ้นไป</li>
<li>RAM GDDR4 -แรม DDR4 สำหรับการ์ดแสดงผลรองรับความเร็วที่ 1.5 GHz ขึ้นไป</li>
<li>RAM GDDR5 -แรม DDR5 สำหรับการ์ดแสดงผลรองรับความเร็วที่ 2 GHz ขึ้นไป</li>
</ul>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-48324716391160595972013-04-08T04:33:00.001-07:002013-04-08T04:33:33.796-07:00การ์ดแสดงผลกับ Windows 7<div style="text-align: center;">
<img height="200" src="http://fc03.deviantart.net/fs47/i/2009/205/a/4/Compatible_with_Windows_7_icon_by_fediaFedia.png" width="200" /></div>
<div>
<br /><div>
การ์ดแสดงผลหรือการ์ดจอที่จะสามารถทำงานร่วมกันกับระบบปฏิบัติการ Windows 7 ซึ่งการแสดงผลของระบบปฏิบัติการนั้นจะเต็มไปด้วยภาพเคลื่อนไหว ซึ่งต้องการประสิทธิภาพของการ์ดแสดงผลในระดับหนึ่ง ชิปกราฟิกที่ทำงานร่วมกับ Windows Vista ก็สามารถทำงานร่วมกับ Windows 7 ได้ โดยเฉพาะชิปกราฟิกในระดับกลางอย่าง AMD Redeon HD3650 หรือ nVidia Geforce 9600 ขึ้นไป ส่วนชิปกราฟิคของทาง Intel ควรเป็นรุ่น GMA X4500 ขึ้นไปเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-68721413676974918502013-04-07T06:50:00.003-07:002013-04-08T04:13:27.896-07:00Turbo Cache<div style="text-align: center;">
<b><img alt="Logo Turbocache" class="aligncenter" height="169" src="http://notebookblog.cz/blog/wp-content/uploads/stare-obrazky/turbocache.jpg" title="Logo Turbocache" width="320" /> </b></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
เนื่องจากเทคโนโลยีของ <b>PCI Express x16</b> ซึ่งมีอัตราการรับ/ส่งข้อมูล 8-16 GB/s ทำให้ผู้ผลิตชิปกราฟิกมองเห็นถึงจุดเด่นข้อนี้ โดยออกแบบชิปกราฟิกรุ่นคุ้มค่าให้ดึงหน่อยความจำหลักของเครื่องมาใช้งานแทนหน่วยความจำบนตัวการ์ดแสดงผล เทคโนโลยีนี้ทาง <b>nVidia </b>เรียกว่า <b>Turbo Cache</b> ในขณะที่<b> AMD </b>จะใช้ชื่อ<b> Hyper Memory</b><br />
<b> </b><br />
จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือช่วยให้ชิปกราฟิกสามารถดึงแรมของเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เดิมเทคโนโลยี<b> Turbo Cache</b> และ <b>Hyper Memory</b> จะใช้กับชิปกราฟิกรุ่นระดับต่ำและชิปกราฟิกของโน๊ตบุ๊คเท่านั้นแต่ปัจจุบันผู้ผลิตชิปกราฟิกทั้งสองได้เริ่มนำมาใช้กับชิปกราฟิกระดับกลาง-ล่างบางรุ่น เพื่อช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำของชิปกราฟิกAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-64795204049176888162013-04-07T06:47:00.000-07:002013-04-08T04:13:27.894-07:00ชิปกราฟิกของ nVidia<a href="http://www.vmodtech.com/spaw/images/Cybernetic/image.php.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="192" src="http://www.vmodtech.com/spaw/images/Cybernetic/image.php.jpg" width="200" /></a><b>nVidia (www.nvidia.com)</b> มีชื่อเสียงมาจากการพัฒนาชิปในตระกูล GeForce ซึ่งเป็นชิปกราฟิก 3 มิติตัวแรกที่สามารถประมวลผลแสงและเงาโดยไม่ต้องพึ่งการทำงานของซีพียู การวางตำแหน่งใหม่ของชิปกราฟิก GeForce หลังจาก GeForce 9 ทาง nVidia ได้เปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่ด้วยการนำตัวอักษรวางไว้หน้าตัวเลข และเริ่มเรียกชื่อรุ่นตามลำดับในตระกูล 100, 200 ตามลำดับ เช่น GeForce GT 150, GeForce GTX 295 เป็นต้น<br />
ชิปกราฟิกตระกูล nVidia GeForce ได้พัฒนามาเรื่อยๆอย่างเช่น ตระกูล 400 Series โดยมีรุ่นตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงสูงสุด เช่น GeForce GTX465, GeForce GTX485 เป็นต้น<br />
<a href="http://cdn.wccftech.com/wp-content/uploads/2012/01/bmvyoybme6.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="195" src="http://cdn.wccftech.com/wp-content/uploads/2012/01/bmvyoybme6.jpg" width="320" /></a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-52410972049189112042013-04-05T09:22:00.001-07:002013-04-05T11:57:29.359-07:00ชิปกราฟิกของ Intel<a href="http://www.notebookcheck.net/uploads/tx_nbc2/GMA950.gif" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://www.notebookcheck.net/uploads/tx_nbc2/GMA950.gif" width="250" /></a>บริษัท Intel เป็นผู้ผลิตชิปกราฟิกในรูปของชิปเชตมานานลักษณะชิปกราฟิกของ Intel จะเน้นกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความประหยัด ชิปกราฟิค GMA950 ในชิปเซต 945G และ GMA X3000 ในชิปเซต G965 ซึ่งเป็นชิปกราฟิคตัวแรกที่รองรับ Windows Vista ปัจจุบันชิปกราฟิคของ Intel ได้พัฒนามาถึง GMAX4500 HD ในเชิปเซต G45 และรุ่นใหม่ GMA HD ในซีพียู Core iAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-3556010664007427862013-04-04T09:54:00.001-07:002013-04-04T09:54:59.829-07:00ชิปกราฟิกของ AMD (ATi)<a href="http://www.notebookspec.com/web/wp-content/uploads/2009/09/amd-ati-radeon-hd-5870-x2-4900-series.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="313" src="http://www.notebookspec.com/web/wp-content/uploads/2009/09/amd-ati-radeon-hd-5870-x2-4900-series.jpg" width="320" /></a><b>AMD (ati .amd.com)</b> ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท <b>ATi</b> ซึ่งผู้ผลิตชิปกราฟิก 3 มิติในตระกูล Radeon ที่มีประสิทธิภาพสูงและได้รับการยอมรับจากบรรดาเซียนเกมส์เมอร์ ชิปกราฟิกรุ่นใหม่ของ AMD (ATi) จะใช้ชื่อรุ่นนำหน้าด้วยคำว่า <b>HD</b> ซึ่งสื่อถึง <b>High Definition</b> เพื่อบอกผู้ใช้ว่าชิปกราฟิกรุ่นใหม่รองรับการเข้ารหัส HDCP เพื่อการชมวีดีโอความละเอียดสูง<br />
ชิปกราฟิกตระกูล Radeon โดยมีตั้งแต่ตระกูล<b> Radeon HD5400, Radeon HD5600/HD5700 </b>และ <b>Radeon HD5800/HD5900</b> ตามลำดับประสิทธิภาพของชิปกราฟิก <b>AMD</b> เปิดตัว <b>Radeon HD6000</b> <b>Series</b> เพื่อเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลด้านกราฟิกให้ดียิ่งขึ้นและยังพัฒนา <b>Series</b> ต่อๆมามากขึ้นเรื่อย<br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-39116823178730832132013-04-03T17:33:00.003-07:002013-04-03T17:42:53.209-07:00Intel Matrix Storage Technology<b>Intel Matrix Storage Technology </b>เป็นเทคโนโลยี <b>RAID</b> ซึ่งมีใช้กับชิปเซต<b> Intel</b> <b>ICH6R/ICH6W</b> ขึ้นไป<b> Intel Matrix Storage Technology</b> เป็นการผสมระหว่าง<b> RAID 0</b> และ<b> RAID 1 </b>โดยใช้ฮาร์ดดิสก์เพียง 2 ตัว ปกติการตั้งค่า <b>RAID</b> ผู้ใช้จะไม่สามารถกำหนดขนาดความจุได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ 640 GB ต่อ <b>RAID 0</b> จะได้ความจุ 1,280 GB และ <b>RAID 1</b> ได้ความจุ 640 GB<br />
แต่ <b>Intel Matrix Storage</b> ผู้ใช้สามารถกำหนดขนาดได้ หากเป็นฮาร์ดดิสก์ 640 GB 2 ตัวต่อแบบ <b>Intel Matrix Storage</b> ผู้ใช้อาจกำหนดให้พื้นที่ 350 GB ส่วนแรกเป็น RAID 0 (2 ตัวรวมได้ 700 GB) อีก 290 GB ที่เหลือทำเป็น <b>RAID 1</b> สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญ หากฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่งเสียข้อมูลส่วนของ <b>RAID 1 </b>ขนาด 290 GB ก็ยังสามารถใช้งานได้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img height="342" src="http://img.tomshardware.com/us/2005/06/29/intel/matrix-storage.jpg" width="400" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<b> Intel Matrix Storage</b> ให้ประสิทธิภาพไม่แตกต่างจาก<b> RAID 0</b> และ<b> RAID 1</b> ปกติ ดังนั้น หากผู้ใช้ต้องการประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัยของข้อมูล การเลือกใช้ <b>Intel Matrix Storage</b> กับฮาร์ดดิสก์เพียง 2 ตัวเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการต่อ<b> RAID 10</b> ที่ต้องการฮาร์ดดิสก์ถึง 4 ตัว <br />
<img src="http://www.servethehome.com/wp-content/uploads/2011/02/Intel-Matrix-Storage-Manager-Setup-RAID-1.png" />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-66624441038526941612013-04-02T19:57:00.000-07:002013-04-02T19:58:36.087-07:00RAID 10 แรงปลอดภัยไร้กังวล<b>RAID 10 </b>จะเป็นการนำเทคโนโลยีของ <b>RAID 0 </b>และ <b>1 </b>มารวมกัน เทคโนโลยี <b>RAID 10</b> ต้องการฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 4 ตัว เมื่อเราสั่งบันทึกข้อมูล ข้อมูลจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ<b> (Data Stripping)</b> แยกสลับกันเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวแรก ส่วนฮาร์ดดิสก์อีก 2 ตัวก็จะใช้สำรองข้อมูล<b> (Data Mirror)</b> ของฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวแรก<br />
<br />
<a href="http://docs.qnap.com/nas/en/raid10.png" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://docs.qnap.com/nas/en/raid10.png" /></a>ปัญหาที่สำคัญของผู้ใช้ <b>RAID Level 10</b> จะอยู่ที่ราคาของฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก เพราะต้องซื้อฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกันถึง 4 ตัว แต่แง่ของประสิทธิภาพและความปลอดภัยข้อมูลแล้วย่อมเหนือกว่า <b>RAID Level 0 </b>อย่างเห็นได้ชัดAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-71569378178581344102013-04-02T19:55:00.001-07:002013-04-02T19:55:58.807-07:00RAID 5 แรงแบบปลอดภัย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://blog.everycity.co.uk/wp-content/uploads/2008/10/raid5.png" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="195" src="http://blog.everycity.co.uk/wp-content/uploads/2008/10/raid5.png" width="320" /></a></div>
<b>RAID ระดับ 5</b> เป็นการนำเอารูปแบบของ<b> RAID 0</b> กับการตรวจสอบความผิดพลาดด้วย<b>พาริตี้ (Parity) </b>มาใช้ การทำงานแบบ <b>RAID 5 </b>ต้องการฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 3 ตัว การเก็บข้อมูลจะกระจายไปยังฮาร์ดดิสก์ทุกตัวเช่นเดียวกับ <b>RAID 0 </b><br />
<div>
แต่ในระหว่างการจัดเก็บข้อมูลจะมีการสร้างพาริตี้เพื่อตรวจสอบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเสมอ หากพบความผิดพลาดของฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่ง เพียงเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ระบบก็จะสามารถตรวจสอบกับค่าพาริตี้เพื่อซ่อมแซมให้ข้อมูลกลับมาเหมือนเดิม</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-44407263432511597092013-04-02T05:47:00.002-07:002013-04-02T05:47:53.960-07:00RAID 1 เมื่อข้อมูลมีค่ายิ่งกว่าชีวิต<a href="http://www.i3.in.th/gallery/content/6/2748_raid1.gif" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="221" src="http://www.i3.in.th/gallery/content/6/2748_raid1.gif" width="320" /></a>สำหรับ <b>RAID</b> ในระดับ<b> 1</b> จะใช้คุณสมบัติ<b> Data Mirror</b> เป็นการสำรองข้อมูลในลักษณะที่คล้ายกับกระจกเงา ซึ่งเวลาเขียนข้อมูลจะมีการจัดเก็บลงไปในฮาร์ดดิสก์อีกตัวหนึ่งด้วย สำหรับ<b> RAID 1 </b>นั้นเมื่อเราสั่งให้บันทึกข้อมูล นอกจากข้อมูลจะถูกจัดเก็บในฮาร์ดดิสก์ตัวแรก (หลัก) แล้ว ก็ยังจัดเก็บข้อมูลชุดเดียวกันนี้ไว้ในฮาร์ดดิสก์ตัวที่ 2 ด้วย (ดังรูป) ดังนั้น เมื่อฮาร์ดดิสก์ตัวแรกเสีย เราก็สามารถสลับไปทำงานบนฮาร์ดดิสก์ตัวที่ 2 ได้ทันที<br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-13017194168854054442013-04-02T05:45:00.001-07:002013-04-02T05:48:28.819-07:00RAID 0 เทคโนโลยีเพื่อความแรง<a href="http://www.i3.in.th/gallery/content/6/2748_raid0.png" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://www.i3.in.th/gallery/content/6/2748_raid0.png" width="200" /></a>เทคโนโลยี<b> RAID</b> ในระดับ 0 จะเป็นการนำฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 2 ตัวมาต่อแบบขนานกัน และใช้คุณสมบัติ <b>Data Stripping</b> คือแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ แล้วแยกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์แต่ละตัว RAID 0 ช่วยให้การรับ/ส่งข้อมูลของฮาร์ดดิสก์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น ข้อมูลที่จะจัดเก็บจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ แยกสลับกันเก็บเอาไว้ในฮาร์ดดิสก์ทั้ง 2 ตัว (ดังรูป) ประสิทธิภาพในการอ่าน/เขียนข้อมูลได้มาจากการทำงานร่วมกันของฮาร์ดดิสก์ทั้ง 2 ตัว<br />
ฮาร์ดดิสก์ทั้ง 2 ตัวจะสลับกันทำงานทำให้ช่วงเวลาในการรอข้อมูลลดลงเป็นครึ่งหนึ่ง (เมื่อต่อฮาร์ดดิสก์ร่วมกัน 2 ตัว) และจะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 เมื่อนำฮาร์ดดิสก์ 4 ตัวมาต่อร่วมกัน ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ RAID 0 คือ ความจุที่สามารถใช้งานได้จะเท่ากับจำนวนความจุของฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่นำมาต่อร่วมกัน <br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-86303436824208427632013-04-02T05:43:00.003-07:002013-04-02T20:15:21.645-07:00RAID เทคโนโลยีเพื่อฮาร์ดดิสก์ฮาร์ดดิสก์เป็นสื่อเก็บข้อมูลหลักของคอมพิวเตอร์ การคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับ/ส่งข้อมูล ตลอดจนการป้องกันปัญหาการเสียหายของฮาร์ดดิสก์ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญ <b>RAID (Redundant Array of Independent Disks)</b> จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ เทคโนโลยี RAID แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ <b>Data Stripping</b> และ <b>Data Mirror</b> การทำ <b>Data Stripping</b> คือ การแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ แล้วแยกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์แต่ละตัว<br />
ส่วน<b> Data Mirror</b> เป็นการสำรองข้อมูลในลักษณะที่คล้ายกับกระจกเงา ซึ่่งเวลาเขียนข้อมูลจะจัดเก็บลงไปในฮาร์ดดิสก์อีกตัวหนึ่งด้วย (เปรียบเสมือนกระจกเงาของฮาร์ดดิสก์ตัวหลัก) เทคโนโลยี RAID มีหลายระดับเพื่อรองรับการทำงาน ตั้งแต่ระดับเครื่องซีพีไปจนถึงเครื่องเชิร์ฟเวอร์ในองค์กรขนาดใหญ่สำหรับหนังสือเล่มนี้จะขอกล่าวถึงเทคโนโลยี RAID ในระดับพื้นฐานที่ใช้งานกันโดยทั่วไปเท่านั้นคือ <b>RAID Level 0, 1, 5, 10</b> และ <b>Intel Matrix Storage Technology</b><br />
<img src="http://www.fujitsu.com/img/STRSYS/system/glossary-raid-raid5.gif" /><br />
<br />
<b>RAID ระดับต่างๆ</b><br />
<br />
<ul>
<li><b><a href="http://itsentre.blogspot.com/2013/04/raid-0.html">RAID 0</a></b></li>
<li><b><a href="http://itsentre.blogspot.com/2013/04/raid-1.html">RAID 1</a></b></li>
<li><b><a href="http://itsentre.blogspot.com/2013/04/raid-5.html">RAID 5</a></b></li>
<li><b><a href="http://itsentre.blogspot.com/2013/04/raid-10.html">RAID 10</a></b></li>
</ul>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-34612935024527016222013-04-01T23:32:00.000-07:002013-04-01T23:32:14.684-07:00SAS ยุคใหม่ของ SCSIเมื่อเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ<b> IDE</b> ได้พัฒนาไปเป็น <b>Serial ATA </b>ระบบควบคุมการทำงานของ<b>ฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI</b> ก็ได้พัฒนาไปเป็น <b>SCSI </b>แบบวงจรอนุกรม (Serial) เช่นกัน โดยมีชื่อเรียกว่า <b>Serial Attached SCSI</b> หรือ<b> (SAS)</b> ซึ่งมีประสิทธิภาพการรับ/ส่งข้อมูลสูงสุดถึง 300 MB/s หรือที่ 600 MB/s ในรุ่น <b>SAS 2</b><br />
<img src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQtjDIUyQ3Mu7s_I6422zqiKrt_EGWTXW9-bhJBzVzTjaEcX7mQ" /><img height="245" src="http://www.ccd-ltd.co.uk/wp-content/uploads/2012/08/SAS-SATA-cable-assy.jpg" width="320" /><br />
<br />
แม้ประสิทธิภาพการรับ/ส่งข้อมูลจะเท่ากับ Serial ATA แต่การทำงานของ SAS นั้นจะมีชิปควบคุมภายในตัวอุปกรณ์ที่มีอิสระจากซีพียูของเครื่องคอมพิวเตอร์ ช่วยให้การรับ/ส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่า Serial ATA ของคอมพิวเตอร์ทั่วไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-40121136851839695282013-04-01T22:47:00.000-07:002013-04-01T22:47:45.493-07:00ฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI<a href="http://www.ixbt.com/storage/itogi2005hd/adaptecsas.jpg" imageanchor="1"><img border="0" height="404" src="http://www.ixbt.com/storage/itogi2005hd/adaptecsas.jpg" width="640" /></a><br />
<br />
<b>ฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI (Small Computer System Interface) </b>เป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีจุดเด่นด้านการรับ/ส่งข้อมูลที่มีความเร็วถึง 320 MB/s และใช้พลังงานซีพียูน้อยกว่า<b>ฮาร์ดดิสก์แบบ IDE</b> ตัวควบคุมแบบ SCSI สามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์ได้มากถึง 7-15 ตัว ฮาร์ดดิสก์ประเภทนี้โดยปกติแล้วจะนิยมใช้ในเครื่องเซิฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพการรับ/ส่งข้อมูล<br />
<br />
การเชื่อมต่อของ<b>ฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI </b>เดิมนั้นเป็นแบบ 50 เข็ม จากนั้นพัฒนาต่อมาเป็นแบบ 68 เข็มและในปัจจุบันจะมีแบบ 80 เข็มเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย โดยทั้ง 3 แบบนี้สามารถหาซื้อตัวแปลง (adapter) เพื่อใช้งานร่วมกันได้ ฮาร์ดดิสก์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในเซิฟเวอร์ระดับองค์มากกว่าเครื่องพีซีทั่วไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-23981142166631889302013-04-01T22:10:00.000-07:002013-04-01T22:31:14.680-07:00eSATA และ eSATAp<a href="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/zh/c/c7/ESATA_Logo.png" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="104" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/zh/c/c7/ESATA_Logo.png" width="200" /></a><b>External SATA </b>หรือ <b>eSATA</b> เป็นส่วนขยายที่มาจากมาตรฐาน <b>SATA 2.5</b> เพื่อรองรับการเชื่อมต่อร่วมกับฮาร์ดดิสก์ภายนอก <b>(External Harddisk)</b> การเชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน <b>eSATA</b> ให้ประสิทธิภาพมากกว่า <b>USB 2.0</b> หรือ <b>Firewire 400</b> คือมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการติดตั้งภายในเครื่อง<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://img.tomshardware.com/us/2008/02/06/intel_skulltrail_part_1/intel_skulltrail_part_i___esata_ports.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="150" src="http://img.tomshardware.com/us/2008/02/06/intel_skulltrail_part_1/intel_skulltrail_part_i___esata_ports.jpg" width="200" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://gadgetsin.com/uploads/2010/06/portable_usb_to_esata_port_adapter_2.jpg" imageanchor="1"><img border="0" height="133" src="http://gadgetsin.com/uploads/2010/06/portable_usb_to_esata_port_adapter_2.jpg" width="200" /></a><br />
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="text-align: justify;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="text-align: justify;">มาตรฐานใหม่ </span><b style="text-align: justify;">eSATAp (eSATA Power)</b><span style="text-align: justify;"> หรือ </span><b style="text-align: justify;">eSATA/USB</b><span style="text-align: justify;"> เป็นการนำเทคโนโลยีของ USB เข้ามาทำงานร่วมกับ </span><b style="text-align: justify;">eSATA</b><span style="text-align: justify;"> เดิม </span><b style="text-align: justify;">eSATA</b><span style="text-align: justify;"> ไม่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าในตัวเอง การใช้งานจึงต้องมีตัวจ่ายไฟเพิ่มเติมทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่เมื่อนำมาทำงานร่วมกับ USB จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ที่เป็น </span><b style="text-align: justify;">eSATA</b><span style="text-align: justify;"> โดยมีแรงดันไฟฟ้าขนาด 5V ของพอร์ต USB เพื่อการใช้งานกับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆได้ดียิ่งขึ้น</span></div>
</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<div style="text-align: center;">
<img height="254" src="http://www.satacables.com/assets/images/IMG_05737.jpg" width="320" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
</div>
<div style="text-align: justify;">
นอกจากจะจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ 5V แล้ว ยังมีพอร์ต <b>eSATAp</b> บางรุ่นสามารถจ่ายแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 12 V ได้ โดยผู้ใช้สังเกตได้จากขั้วทองแดงทางด้านข้างของหัวต่อ อุปกรณ์ที่รองรับการจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ 12 V ผ่านหัวต่อ <b>eSATAp</b> ช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้หลากหลายขึ้น เช่น ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ หรือ<b>ไดรว์ CD/DVD</b></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-10009129644921249852013-04-01T00:23:00.003-07:002013-04-01T00:27:25.977-07:00ฮาร์ดดิสก์ Serial ATA (SATA)<b>ฮาร์ดดิสก์แบบ Serial ATA (SATA)</b> เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อในปัจจุบัน สายมี่ใช้กับฮาร์ดดิสก์มีจำนวนขาเพียง 7 เข็ม ส่วนที่เพิ่มจาก IDE คือ สายไฟสำหรับจ่ายไฟให้กับฮาร์ดดิสก์จะใช้หัวต่อแบบใหม่ที่ออกมาแบบโดยเฉพาะ<br />
<br />
มาตรฐาน <b>SATA 1.0</b> เป็นจุดเริ่มต้ินของมาตรฐานการรับ/ส่งข้อมูลของฮาร์ดดิสก์แบบ Serial ATA ตามมาตรฐาน <b>SATA 1.0 </b>นั้น ฮาร์ดดิสก์จะรับ/ส่งข้อมูลด้วยอัตราเร็ว 1.5 Gb/s หรือ 150 MB/s และยังไม่รองรับการถอดและติดตั้งในขณะที่เครื่องกำลังทำงาน (Hot Plug)<br />
<br />
<b>SATA II </b>เป็นมาตรฐานที่พัฒนาต่อจาก <b>SATA 1.0 </b>โดยมีอัตราเร็วคงเดิม ซึ่งอาจจะเหนโฆษณาจากทางผู้ผลิตที่บอกว่า <b>SATA II </b>มีอัตราเร็ว 3 Gb/s หรือ 300 MB/s ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่พูด ตามมาตรฐานของ <b>SATA II </b>จริงๆ แล้วนั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดดิสก์<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://img.ehowcdn.com/article-new/ehow/images/a06/em/me/use-drives-sata-ii-emachines-800x800.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="http://img.ehowcdn.com/article-new/ehow/images/a06/em/me/use-drives-sata-ii-emachines-800x800.jpg" width="320" /></a><img height="166" src="http://www.pcsilent.de/ppic-MAXI-SATA2-cable-internal-s-ata-II-cable-security-clip-safty-clip-sata-shielded-sata2kabel.jpg;jsessionid=88CB581E69D4F152884F3215BF670B40" width="200" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
คุณสมบัติ <b>NCQ (Native Command Queuing) </b>ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์สามารถอ่านข้อมูลที่อยุ่ใกล้โดยไม่คำนึงถึงลำดับการอ่า่นข้อมูล คุณสมบัติ <b>AHC (Advance Host Controller) </b>ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ได้เต็มประสิทธิภาพ และยังรองรับคุณสมบัติ Hot Plug อีกด้วย<br />
<br />
<b>SATA 3 Gb/s </b>เป็นมาตรฐานที่พัฒนาต่อจาก <b>SATA II</b> โดยเพิ่มประสิทธิภาพการรับ/ส่งข้อมูลด้วยอัตราเร็ว 3 Gb/s หรือ 300 MB/s และยังคงรองรับคุณสมบัติต่างๆ ที่ <b>SATA II</b> มี และลักษณะของหัวต่อยังคงเหมือนเดิมชิปเซตบนเมนบอร์ดสามารถค้นหาและปรับโหมดการทำงานได้อัตโนมัติ<br />
<a href="http://pcper.com/images/reviews/800/14.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="http://pcper.com/images/reviews/800/14.jpg" width="320" /></a><img alt="2TB (2000GB) Sata III Hard Drive" height="200" src="https://www.vibox.co.uk/media/catalog/product/cache/1/thumbnail/300x/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/w/d/wd20ears.jpg" width="200" /><br />
<br />
<br />
<b>มาตรฐาน SATA 2.5 </b>มีการอ้างถึงการทำงานคล้ายๆกับ <b>SATA 3 Gb/s </b>ตามมาตรฐานของ<b> </b><b>SATA 2.5 </b>ได้เพิ่มข้อกำหนดเรื่องจำนวนหัวต่อ <b>SATA</b> บนเมนบอร์ดให้มีอย่างน้อย 6 หัวต่อเพื่อรองรับการทำงานของฮาร์ดดิสก์มากกว่า 1 ตัวและรองรับการทำงานร่วมกัีบไดรว์ CD/DVD รุ่นใหม่ที่เป็น <b>Serial ATA</b><br />
<b><br /></b>
ล่าสุด<b>มาตรฐาน SATA 6 Gb/s </b>เป็นมาตรฐานใหม่ในปัจจุบัน โดยมีประสิทธภาพการรับ/ส่งข้อมูลเพิ่มขึ้น 2 เท่าและเพิ่มประสิทธิภาพโหมด NCQ และการจัดการพลังงาน ชิปเซตตัวแรกที่รองรับ <b>มาตรฐาน SATA 6 Gb/s </b>จะเป็นชิปเซต South Bridge รุ่น AMD SB850 ส่วนชิปเซตของซีพียู Intel จะเป็นรุ่น Intel 6 Serie ขึ้นไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-91969904987454178872013-03-31T22:56:00.000-07:002013-03-31T22:56:20.245-07:00ฮาร์ดดิสก์ IDE<b>ฮาร์ดดิสก์แบบ IDE (Intergrated Device Electronics) </b>เป็นระบบเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ซึ่งเก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีสายแพ 80 เส้น แต่มีหัวต่อเพียง 40 ขา (40 เส้นที่เหลือเป็นสายกราวน์ เพื่อช่วยลดสัญญาณรบกวน) ตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์แบบ IDE 1 ชุดจะสามารถต่อกับอุปกรณ์ได้ 2 ตัว<br />
<br />
<b>Maxtor </b>กำหนดมาตรฐาน <b>Big Drive</b> ขึ้นมารองรับฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากกว่า 137 GB ผู้ใช้คอมพิวเตอร์รุ่นที่ยังควบคุมแบบ<b> Ultra DMA 100 MB/s </b>หรือต่ำกว่า จะต้องอัพเดตไบออสเพื่อให้สามารถทำงานกับฮาร์ดดิสก์ความจุขนาดนี้ได้<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.toptenthailand.com/2013/img/img_topten/img_icon/1351741904.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="275" src="http://www.toptenthailand.com/2013/img/img_topten/img_icon/1351741904.jpg" width="320" /></a></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-350946592657476341.post-26380861465428096652013-03-31T10:12:00.001-07:002013-03-31T10:13:15.124-07:00การเลือกซื้อแรมแบบ Channel Kitเพื่อให้การทำงานแบบ <b>Dual Channel</b> และ <b>Triple Channel </b>ได้อย่างไม่มีปัญหาแล้วนั้น เราควรเลือกซื้อแรมที่มีความสามารถทำงานร่วมกันแบบ <b>Dual Channel</b> และ <b>Triple Channel </b>ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แรมแบบนี้จะมีขายเป็นแบบชุดเรียกว่า Kit ซึ่งมี 2-3 แผงมาให้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img height="320" src="http://www.hitechreview.com/uploads/2009/04/ddr3-chrome-kit_.jpg" width="234" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
เมื่อ <b>Intel</b> <b> </b>ตระกูล <b>Core i</b> ที่ใช้ซ็อกเก็ต <b>LGA2011</b> ซึ่งรองรับการทำงานร่วมกันกับแรมแบบ <b>Quad Channel </b>หรือใช้แรมถึง 4 แถวผู้ผลิตจึงวางจำหน่ายชุดแรมแบบ <b>Quad Channel Kit</b> เพื่อรองรับการทำงานของซีพียู <b>Core i</b> รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://notebookspec.com/web/wp-content/uploads/2011/12/n4g_g.skill_ripjawsz_quad-channel_kit_01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img height="320" src="http://static.techspot.com/images2/news/thumbs/2011-11-14-teaser1.jpg" width="268" /></a></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03493652151237530064noreply@blogger.com0